ประวัติและตราสัญลักษณ์ ประวัติและตราสัญลักษณ์ ข้อมูลสภาพทั่วไป โครงสร้างและการจัดการองค์กร อำนาจหน้าที่ วิสัยทัศน์ / พันธกิจ นโยบายการบริหาร นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Privacy Policy) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนา กฏหมายที่เกี่ยวข้อง Social Network วันที่ 07 กุมภาพันธ์ 2568 [ 09:56 น. ] เข้าชม 39 ครั้ง 0 พิมพ์ ประวัติความเป็นมา ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของตำบลนาเริกมีความเกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานของอำเภอพนัสนิคม เพราะว่าตำบลนาเริกนั้นเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ.2371 ที่มีการก่อสร้างเมืองพนัสนิคม มี“ลาวอาสาปากน้ำ”หรือ “ลาวปากน้ำ” อพยพมาสวามิภักดิ์กับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.2) ประมาณ 2,000 คน ต่อมาโปรดเกล้าให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งลาวอาสาปากน้ำที่เคยอาศัยอยู่แต่พื้นที่ดอนไม่ชอบอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำจึงทูลขอย้าย ที่อยู่ที่ทำมาหากินจากพระบาทพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าหัวอยู่ (ร.3) มาอยู่ที่แดนป่าเมืองพระรถ ซึ่งพวกตนได้เคยรู้จักดีเพราะเคยถูกมอบหมายให้มาตัดไม้ซุง เพื่อชักลากไปทำป้อมค่ายที่ป้อมน้ำ พระองค์ทรงอนุญาตให้แบ่งส่วนพื้นที่แขวงเมืองชลบุรีและเมืองฉะเชิงเทรา ในปี พ.ศ.2371 ตั้งเมืองพนัสนิคม มอบให้พระอินทรอาสา (ท้าวทุม) เป็นเจ้าเมืองดูแลปกครองพี่น้องคนลาวและในปี พ.ศ.2372 มอบให้พระอินทรอาสาเกลี้ยกล่อมคนลาวที่เมืองนครพนม เมืองปากห้วยหลวง เมืองมหาชัยกองแก้วและเมืองต่างๆ เข้ามาอยู่เมืองพนัสนิคม ซึ่งมีคนลาวอพยพเข้ามาเนื่องจากเห็นว่าเจ้าเมืองให้ความคุ้มครอง และช่วยเหลือญาติ พี่น้องที่เข้ามาอยู่อาศัยเป็นอย่างดี มีการแยกย้ายกันไปเป็นกลุ่ม มีลูกหลานอยู่ตามตำบลต่างๆ อาทิ หมอนนาง นาเริก บ้านช้าง หนองปรือ หนองเหียง หัวถนน สระสี่เหลี่ยม ไร่หลักทอง กุฎโง้ง บ้านเซิด หน้าพระธาตุ (ในปัจจุบัน) เป็นต้นที่มา : เอกสารสภาวัฒนธรรมตำบลนาเริกคำขวัญตำบลนาเริก"วิทยาลัยคู่ตำบล ประชาชนคู่เกษตรภูมิประเทศสวนนา ภูมิปัญญาจักสานผลไม้จิ๋วปั้นจากดิน ไทย ลาว จีน โซ่ มุสลิม"ที่มาของคำขวัญที่ว่า “ไทย จีน โซ่ มุสลิม” มีดังนี้ "ไทย"เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.2112 และพ.ศ.2310 มีคนไทยทั้งที่เป็นชาวกรุงศรีอยุธยาอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองพนัสนิคมและ ชาวสุโขทัยบางส่วนเข้ามาทำมาหากินในเมืองพนัสนิคม แต่ไม่ได้เข้ามาในตำบลนาเริกเพราะยังเป็นป่ารกชัฎมีเสือ มีช้างอาศัยอยู่ ต่อมาเมื่อมีคนลาวเข้ามาอยู่จึงมีคนตามอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ของประชากรตำบลนาเริกจึงมีคนไทยอยู่ด้วย"ลาว"เมื่อ พ.ศ.2371 สมัยรัชกาลที่ 3 มีการก่อตั้งเมืองพนัสนิคมและมีคนลาวส่วนหนึ่งได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำมาหากินในพื้นที่ด้านตะวันออก ของเมืองพนัสนิคม ซึ่งก็คือ บ้านนาเริก (ในปัจจุบัน) ด้วยลักษณะเป็นที่ต่ำเหมาะแก่การทำนาเพราะติดกับคลองดอนกระบากและคลองหลวง "จีน"เมื่อมีคนเข้ามาทำมาหากินอยู่ที่ใด คนจีนก็จะไปร่วมทำมาหากินอยู่ด้วยเพราะถือว่ามีเพื่อนแล้ว ต่อมามีการย้ายเข้ามาทำมาหากินมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันตำบลนาเริกมีคนไทยเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก "โซ่"คนลาวที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำมาหากินในพื้นที่บ้านนาเริก คือ กระโซ่ หรือ โซ่ ซึ่งมีเพียงจำนวนหมู่บ้านเดียว ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า กระเหรี่ยง ต่อมาในปี พ.ศ. 2438 จังหวัดชลบุรีแบ่งการปกครองออกเป็น 13 แขวง ชาวโซ่ได้รับเกียรติให้เป็นแขวงอำเภอบ้านกระเหรี่ยง มีที่ทำการตั้งอยู่ใกล้วัดโป่งปากดง ตำบลนาเริก (ในปัจจุบัน) มีประชากรที่เป็นลูกหลานชาวโซ่อยู่หมู่ที่ 1,2,3,5,6,7,8,10 และ หมู่ที่ 13 "มุสลิม"เมื่อ พ.ศ.2470 มีคนไทยเชื้อสายมุสลิมจากพระโขนง คลองตัน หนองจอก มีนบุรี ปทุมธานี นครนายกฯ ย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำมาหากินอยู่หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 12 ต่อมาในปี พ.ศ.2472 มีการก่อตั้งมัสยิดอัลอิตติฟากียะห์ อยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลนาเริก ซึ่งเป็นมัสยิดหลังแรกและจดทะเบียนเป็นแห่งแรกในจังหวัดชลบุรีนี่คือ ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของตำบลนาเริก ถ้าจะนับรวมตั้งแต่ชาวโซ่เข้ามาหักร้างถางพงเพื่อทำมาหากินและอยู่อาศัย จนถึงปัจจุบันมีความยาวนานถึง 182 ปี คำว่า “นาเริก” เดิมเขียน “นาฤกษ์” เพื่อความเป็นสิริมงคลของท้องถิ่นที่ได้อพยพเข้ามาทำมาหากินใหม่ ในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ที่ดินที่จะเข้ามาอาศัยทำมาหากิน จะต้องเป็นพื้นที่ต่ำ มีน้ำสำหรับทำงานได้ เพราะว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดของคนในสมัยก่อน คือ ข้าว กินได้ ก็เลยให้ชื่อว่า “บ้านนาฤกษ์” หมายถึง เป็นฤกษ์งามยามดีที่ได้พบพื้นที่นาสำหรับทำมาหากิน จึงได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่และที่ว่าชายป่านั้น คือ พ้นจากที่นาเป็นป่าดงดิบขนาดใหญ่มีขอบเขตต่อเนื่องไปทางตะวันออก ดังจะเห็นจาก วัดของบ้านนาเริก คือ วัดโป่งปากดง ที่หมายถึง ปากทางเข้าป่าดงดิบ ประชาชนที่เข้ามาอยู่อาศัยในตำบลนาเริกเป็นกลุ่มแรก คือ พวกที่ข้าราชการมอบหมายให้เข้ามาทำมาหากิน ในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.3) ซึ่งบรรพบุรุษของคนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาวเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ในปัจจุบัน) ดังปรากฎในจดหมายเหตุของประวัติศาสตร์ว่าได้จัดส่งชาวลาวและกระเหรี่ยง (โซ่) อพยพมาอยู่ทางตะวันออกของเมืองพนัสนิคม คือ บ้านศรีวิชัย บ้านผ้าขาวน้อย แขวงหนองบัว แขวงบ้านปลาสลิด บ้านนาเริก ต่อมาเมื่อประชาชนเห็นว่ามีผู้เข้ามาทำมาหากินอยู่บ้างแล้วจึงได้เข้ามาจับจองที่ดิน ทำนา ทำไร่ ในส่วนที่เป็นป่าดงดิบ จนกระทั่งในปัจจุบันไม่มีป่าดงดิบให้เห็นอีกแล้ว ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ได้จัดวางระเบียบการปกครองใหม่ เมื่อ พ.ศ.2440 โดยแบ่งให้เป็นจังหวัด อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน จึงได้แต่งตั้งตำบลนาเริก ขึ้น โดยมี แขวงบุญมา บุญทา เป็นแขวงหรือกำนันคนแรก ใช้ชื่อว่า “ตำบลนาเริก” มี 15 หมู่บ้าน การเปลี่ยนชื่อตำบล จากคำว่า “นาฤกษ์” เป็นคำว่า “นาเริก” เปลี่ยนในสมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงครามเพื่อต้องการให้ เป็นอักษรไทย ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ในแต่ละหมู่บ้านมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ดังรายละเอียดต่อไปนี้หมู่ที่ 1 บ้านดอนไร่ ไร่ เป็นชื่อพันธุ์ไม้ไผ่ปล้องเล็กชนิดหนึ่ง ไม่มีหนาม สามารถนำลำต้นไปทำ แคน เป่าประกอบการแสดงหมอลำของชาวไทยอีสานได้และหน่อไร่นำไปประกอบเป็นอาหารได้หลายอย่าง หมู่บ้านดอนไร่แห่งนี้มีไผ่ชนิดนี้ขึ้นอยู่เป็นกอ ๆ เป็นบริเวณกว้าง คนเก่าคนแก่ของหมู่บ้านเล่าว่า สมัยปู่ย่าตายายคนเข้าป่าหาฟืนจะขับเกวียนผ่านมาทางนี้ เพราะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ถ้าไปทางอื่นจะไม่มีน้ำสำหรับวัว ควายตอนพักเกวียน นอกจากชาวบ้านจะเข้ามาหาหน่อไร่ไปกินแล้วพวกที่เดินทางผ่านก็จะแวะหาหน่อไม้จากที่นี่ติดมือกลับบ้านด้วยเสมอ จึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปว่า “ดอนไร่” ก่อนจะเป็น “บ้านดอนไร่” เมื่อป่าถูกแผ้วถางลงเป็นหมู่บ้านมาจนทุกวันนี้หมู่ที่ 2 บ้านเนินสำโรง “สำโรง” เป็นชื่อไม้ป่าต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ตั้งแต่หมู่บ้านมาแล้วพื้นที่แห่งนี้เป็นเนินสูงลาดลงมาสู่ท้องนา มีต้นสำโรงใหญ่สูงเด่นอยู่บนเนินต้นหนึ่ง จึงเป็นชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านเนินสำโรง” ตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลาอีกนานกว่าต้นไม้นั้นจะไม่มีให้เห็นอีกแล้วในปัจจุบันหมู่ที่ 3 บ้านหนองกะพง กะพง เป็นชื่อไม้ป่าขนาดใหญ่ ชนิดหนึ่งชอบขึ้นอยู่ริมแหล่งน้ำ หมู่บ้านแห่งนี้มีที่ลุ่มลึกมีน้ำเจิ่งในหน้าฝนซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “หนอง” ปัจจุบันอยู่ทางซ้ายมือของถนนนางเมรีจากพนัสนิคมไปตลาดเกาะโพธิ์ ชายขอบหนองเท่านั้นที่พอจะทำนาได้ ขอบหนองริมท้องนานี้เองที่มีต้นกะพงใหญ่ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง จึงเป็นชื่อหมู่บ้านเรื่อยมาว่า บ้านหนองกะพงหมู่ที่ 4 บ้านเนิน ตำบลนาเริก ด้านทิศเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นา ส่วนด้านทิศใต้เป็นเนินสูงลาดลงสู่ทุ่งนา เหมาะที่จะเป็นที่ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยและไม่ไกลจากที่นาของตนมากนัก จึงมีคนมาสร้างบ้านอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านตั้งเด่นอยู่บนเนิน ใครมาเห็นเข้าก็เรียกว่า บ้านเนิน มาจากทุกวันนี้หมู่ที่ 5 บ้านหนองผักปอด ผักปอด เป็นภาษาปากของชาวบ้านที่เป็นลาวอพยพ เมื่อครั้งแรกตั้งเมืองพนัสนิคม ตรงกับภาษาไทยกลางว่า ผักแพงพวย หรือผักพังผวย ที่มีเยื่อโปร่งคล้ายฟองน้ำอยู่รอบเถาแต่ละท่อนให้ลอยอยู่เหนือน้ำได้ดี ไม่ต่างจากผักกระเฉด นั่นเอง ที่สำคัญเป็นผักกินได้เหมือนผักกระเฉดด้วย หมู่บ้านนี้มีหนองน้ำใหญ่อยู่หนองหนึ่งกว้างประมาณไร่เศษ มีผักปอดขึ้นอยู่หนาแน่น มีชาวบ้านมาเก็บผักไปเป็นอาหารได้ตลอดปี จึงชื่อว่า บ้านหนองผักปอด มาจนทุกวันนี้หมู่ที่ 6 บ้านยาง เมื่อครั้งแรกที่ผู้คนเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันใหม่ ๆ นั้น มีต้นยางใหญ่ขึ้นอยู่ต้นหนึ่งมานานแล้ว จึงเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของหมู่บ้านในกาลต่อมา จนเป็นชื่อเรียกขานว่า บ้านยาง มาจนทุกวันนี้หมู่ที่ 7 บ้านเนินค้อ ค้อ เป็นชื่อพันธุ์ไม้ยืนต้น หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินอยู่แล้วและมีต้นค้อขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง ตอนแรกก็ไม่มีใครสนใจต้นค้อต้นนี้นัก จนกระทั่งมีคนไปสร้างศาลเทพารักษ์ไว้เป็นที่พึ่งทางใจให้คนไปเคารพบูชาอยู่ใกล้กับต้นค้อ จึงทำให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ใคร ๆ จึงเรียกสถานที่นั้นว่า บ้านเนินค้อ หมู่บ้านนี้บริเวณกว้างมากจึง 2 หมู่บ้านรวมกัน อีกหมู่บ้านหนึ่งเรียกว่า บ้านเนินม่วง คือ เนินที่ตั้งหมู่บ้านนี้มีมะม่วงใหญ่ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง จึงเรียกกันสั้น ๆ ว่าอย่างนั้นหมู่ที่ 8 บ้านดอนกอก มะกอก เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ผลกินได้มีรสเปรี้ยว มีอยู่ 2 ชนิด มะกอกบกมีลำต้นขนาดใหญ่มีผลขนาดลูกหมาก มะกอกน้ำเป็นต้นไม้ต้นเล็ก มีผลเล็กรีเป็นที่โปรดปรานของเด็ก ๆ มาก หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินมีมะกอกบกต้นใหญ่ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง จึงได้ชื่อว่า บ้านเนินมะกอก แต่ชาวบ้านเรียกกันสั้น ๆ ว่า บ้านเนินกอก เดี๋ยวนี้ไม่มีต้นมะกอกใหญ่นั้นแล้วหมู่ที่ 9 บ้านเนินไทร ตามถนนนางเมรีมุ่งสู่ตลาดเกาะโพธิ์จะผ่านเนินสำโรง เข้าสู่เนินแร่ ลงจากเนินแร่ขึ้นสู่เนินไทรผ่านคลองกระเบาะก่อนถึงสี่แยกเกาะโพธิ์ ข้างถนนนางเมรีด้านซ้ายมือ (ทิศเหนือ) เมื่อก่อน พ.ศ.2510 ยังเห็นมีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของนายบุญส่ง บัวลี ที่เคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนวัดท่าบุญมี ไทรใหญ่ต้นนี้เองที่เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน เนินไทร มาจนทุกวันนี้ ต่อมาไทรต้นนั้น ได้ตายลงและได้มีการสร้างถนนสายนี้จากทางลูกรังเป็นถนนลาดยางครั้งแรกสมัยนายอำเภอ วิเชียร วิมลศาสตร์ จึงขยายถนนทับตอไทรต้นนั้นแล้วหมู่ที่ 10 บ้านเนินแร่ สมัยก่อนมีคนร่ำลือกันว่า บนเนินเขาเตี้ย ๆ แห่งนี้มีแร่ใต้ดิน โดยไม่บอกว่าเป็นแร่อะไร จึงมีคนมาขุดเพื่อสำรวจแหล่งแร่ดังกล่าว ทิ้งร่องรอยเป็นหลุมไว้กว้างพอสมควร เมื่อมีคนไปเห็นมาก ๆ เข้าเลยเชื่อคำร่ำลือนั้น จึงพากันเรียกว่า เนินแร่ ก่อนจะกลายเป็นชื่อหมู่บ้านในเวลาต่อมาครบเท่าทุกวันนี้หมู่ที่ 11 บ้านหนองปลาไหล เดิมทีเดียวมีชื่อว่า หนองปลาไหลผอม เพราะในหนองน้ำแห่งนี้มีปลาไหลชุกชุม หน้าฝนมีน้ำเจิ่งแต่หน้าแล้งน้ำจะงวดลงมาก บางปีแห้งจนเหลือแต่โคลนเลน เป็นโอกาสให้ชาวบ้านใช้เหล็กแหลมไปแทงดักใต้โคลนแล้วล้วงจับปลาไหลมาเป็นอาหาร แต่ชาวบ้านแปลกใจว่าทำไมปลาไหลจากหนองแห่งนี้จึงผอมยาวไม่อ้วนกลมเหมือนกับที่อื่น จึงตั้งชื่อหนองน้ำแห่งนี้ว่า หนองปลาไหลผอม ชาวบ้านรุ่นต่อ ๆ มาไม่ทราบความเป็นมาของหมู่บ้านและชอบเรียกชื่อสั้น ๆ อยู่ด้วย จึงเรียกว่า บ้านหนองปลาไหล เท่านั้นหมู่ที่ 12 บ้านเกาะกลาง เกาะ ในความหมายของชาวบ้านที่อยู่บนบก ไม่ว่าจะตามท้องนาในป่าหรือในไร่ คือ บริเวณใด บริเวณหนึ่งที่เป็นเนินที่ต่ำล้อมรอบ จะมีน้ำล้อมรอบในหน้าฝนหรือไม่ก็ตาม หมู่บ้านแห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน เนินดินที่ตั้งหมู่บ้านมีที่ราบต่ำอยู่รอบ ๆ และตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านหนองกะพงและบ้านหนองพรหม จึงเรียกว่า บ้านเกาะกลางหมู่ที่ 13 บ้านหนองโมกข์ โมก เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม จึงมีการนำมาชำใส่กระถางเป็นไม้ประดับ เป็นต้นไม้มงคลเพราะชื่อไปตรงกับคำว่า โมกข์ ในภาษามคธ ซึ่งแปลว่า นิพพาน,การเป็นใหญ่ แต่ก่อนนี้ มีเรื่องเล่าลือกันว่า ป่าแห่งนี้มีต้นโมกข์ขึ้นอยู่ริมหนองน้ำ ตอนแรกก็ไม่มีใครสนใจต้นไม้เหล่านี้ จนกระทั่งมีคนเข้าไปพบศพสองผัวเมียผูกคอตายอยู่ใต้ต้นโมกสภาพศพอยู่ในลักษณะเน่าเฟะจำหน้าไม่ได้จึงเริ่มมีการกล่าวขานถึงต้นโมกต้นนั้นว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ “หนองโมกข์” เมื่อหมู่บ้านเกิดขึ้น ชื่อ บ้านหนองโมก จึงเป็นชื่อมงคลของหมู่บ้าน เพราะอาจจะเรียกว่า บ้านหนองโมกข์ ก็ได้หมู่ที่ 14 บ้านหนองโคลน แต่ก่อนบริเวณนี้มีหนองใหญ่ลึกมากอยู่แห่งหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ หน้าฝนน้ำจะไหลมารวมกันที่นี่และพัดพาเอาโคลนตมมาทับถมสูงขึ้น ๆ ทุกปี เวลาคนลงไปในหนองหรือวัว ควาย ลงไปแช่น้ำจะจมลึกลงไปในโคลนจนน่ากลัว จึงได้เป็นชื่อหมู่บ้านว่า บ้านหนองโคลน เรื่อยมาจนทุกวันนี้ ปัจจุบันเป็นที่ทำนาของหมู่บ้านไปหมดแล้วหมู่ที่ 15 บ้านหนองแก เดิมมีชื่อว่า หนองสะแก เนื่องจากหนองน้ำแห่งเดียวในหมู่บ้านนี้มีต้นสะแกขึ้นอยู่เรียงราย ต่อมาจึงเรียกให้สั้นเข้าตามความเคยชินว่า บ้านหนองแก เพราะไม่มีหนองและต้นสะแกเหล่านั้นแล้ว พื้นที่ของตำบลนาเริกทั้งหมด อยู่ในเขตความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลนาเริก ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 10 บ้านเนินแร่เป็น อบต.ขนาดใหญ่ ได้รับการจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลพ.ศ.2537เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2539